เมื่อสัก 20 ปีก่อนได้รู้จักวิชา “การจัดการความเสี่ยง” หรือ Risk Management สนใจด้วย เพราะชื่อที่ฟังดูหวือหวา น่าสนุก ทั้งยังน่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานได้จริง
แต่เพราะวิสัยทัศน์อันแสนสั้น ทำให้พอพยายามนำศาสตร์ของเขามาใช้โดยต้องพยากรณ์ว่ามีความเสี่ยงใดบ้างให้ต้องวางแผนรองรับ ก็นึกออกแต่เรื่องของราคาน้ำมัน การขาดแคลนอาหาร หรือเต็มที่ก็นึกไปได้ถึงแค่อาจเกิดสงครามโลก
ไม่เคยเลยที่จะคิดถึงความเสี่ยงจากการก่อการร้ายจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 911 ทำให้ต้องเติมภัยนี้เพิ่มเข้าไปในแผน และพอถัดมาอีกไม่กี่ปีก็ต้องเติมอีกภัยคือภัยจากธรรมชาติเข้าไปด้วย ที่ก่อนนี้คิดเอาเองว่าน้ำท่วม แผ่นดินไหวนั้นจะหนักหนาแค่ไหนก็คงสร้างความเสียหายได้ไม่มากนักจนกระทั่งเกิดโศกนาฎกรรมสึนามิขึ้นทำให้ต้องประเมินอันตรายที่ธรรมชาติส่งมาเตือนมนุษย์นี้ใหม่
พอเพิ่มภัย 2 ประเภทนี้เข้าไปก็หลงคิดว่าน่าจะครอบคลุมแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้ต้องปรับแผนอย่างเร่งด่วนอีกครั้งกับการเพิ่มอีกภัยที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยประสบมานั่นคือ ภัยจากโรคระบาด
โคโรนาไวรัสสายพันธ์ใหม่ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (Covid-19) อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่โลกทั้งโลกต้อง “ล็อก ดาวน์” ปิดประเทศ คนต้องแต่งตัวในแบบที่มักเห็นกันในหนังซอมบี้ ประชาชนไม่ว่าจะเชื้อชาติใด ภาษาใดล้วนต้องปรับพฤติกรรมใหม่ที่เรียกว่า New Normal วิถีชีวิตใหม่ที่ต้องยอมรับ ทางออกเดียวที่คนทั้งโลกรออยู่ก็คือการได้มาซึ่ง “วัคซีน” แต่จนแล้วจนรอดวัคซีนนั้นก็ยังไม่สำเร็จออกมาให้ชาวโลกได้กลับไปใช้ชีวิตปกติแบบปกติจริง ๆ เสียที
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ขนาดโลกทุกวันนี้ที่วิชาการพัฒนาไปไกลสุดกู่ เทคโนโลยีก็แสนอัจฉริยะ รวดเร็วแต่ทำไมการหาวัคซีนถึงได้ล่าช้ากว่าความคาดหวังมาก
พอฉุกใจเลยนึกไปถึงผู้ที่อัจฉริยะที่สุดของโลกอย่างพระพุทธเจ้าว่า หากท่านอยู่ร่วมสมัยจะสามารถหาวัคซีนมาให้พวกเราได้เร็วกว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์มือเยี่ยมของโลกตอนนี้ไหม
ซึ่งเมื่อลองศึกษาดูก็พบว่าท่านไม่เพียงจะค้นได้เร็วกว่า แต่ท่านยังได้มอบวัคซีนไว้ให้นานแล้วด้วย ทั้งยังเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันไวรัสที่อันตราย สร้างความเสียหายแพร่กระจายได้ง่าย ไว และไกลกว่า Covid-19 เสียอีก นั่นคือ ไวรัสที่ชื่อ “กิเลส”
กิเลสมีผลร้ายกว่าโควิดมาก เป็นแล้วตายไม่เพียงชาตินี้ ยังอาจทำลายต่อไปได้ถึงชาติหน้าและชาติต่อ ๆ ไป ทั้งยังติดง่ายมาก ต่อให้ Isolate ตัวเองอยู่บ้าน หรือ Quarantine อยู่ในสถานที่ไหน ไวรัสตัวนี้ก็แพร่ไปถึง แถมมันยังแข็งแกร่ง มีอายุยืนยาว ชนิดที่แอลกอฮอล์หรือสารฆ่าเชื้อทำความสะอาดใดก็ไม่สามารถทำลายมันได้ แต่แม้ว่ามันจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ พระพุทธเจ้ายังทรงหาวัคซีนมาให้เราจนได้ นั่นคือวัคซีนที่ชื่อ “อินทรียสังวร” ที่มีหลักการทำงานคือ การระมัดระวังช่องทางการติดต่อของมันเข้าสู่ใจเรา
เพราะเราไม่อาจควบคุมการแพร่กระจายของกิเลสได้ ต้องระลึกไว้เลยว่า กิเลสนั้นมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง และพร้อมจะจู่โจมเข้าทำร้ายใจเรา ทางเดียวที่จะรอดพ้นคือ การมีสติคอยรักษาช่องทางที่กิเลสจะเข้าสู่ใจ นั่นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ หากเรามีสติคุมช่องทางรับเข้านี้ได้ต่อให้กิเลสจะแพร่ไว หรือไกลได้แค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วก็เข้ามาทำลายเราไม่ได้เพราะเราไม่เปิดช่องทางรับมันเข้ามา
Covid ก็เช่นกัน ระหว่างการกังวลว่าไปไหน ไปเจอใคร จะมีไวรัสหรือไม่ สู้คิดไปเลยว่า มีแน่ ๆ แต่ขอเพียงแต่เราตัดช่องทางการนำเข้า คือ ทางตา จมูก และปาก ให้ดี ก่อนที่จะเอามือไปขยี้ตา ไปแยงจมูก หรือลูบปาก ก็ล้างทำความสะอาดอย่างถูกต้องเสียก่อน และเมื่อทำร่วมกับการเลือกกินอาหารที่ปรุงสุก ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่ไวรัสอาจจะเข้าไปทำลายปอดเราได้ เพียงเท่านี้มันก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้แล้ว
เราสามารถนำหลักของอินทรียสังวรนี้ไปประยุกต์ใช้กับ Covid ได้เพราะขนาดกิเลสที่ว่าร้ายกว่าโควิทมากนักวัคซีนนี้ยังป้องกันได้
ไม่ได้ให้ประมาทเพียงอยากถ่ายทอดไล่เรียงว่าชั่วชีวิตของมนุษย์หนึ่งชีวิต สามารถเจอความเสี่ยงในระดับรุนแรงยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นในแบบที่ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสเจอในชาตินี้ได้แทบจะทุกรอบสิบปี หากอยากบริหารความเสี่ยง จึงควรหาเครื่องมือรองรับไว้ล่วงหน้า จึงได้นำวัคซีนชั้นยอดจากพระพุทธเจ้านี้มาเล่าแบ่งปัน เผื่อจะได้หยิบนำไปใช้ในอนาคตอันใกล้ได้ทันเวลา
เพราะไม่แน่ว่าอีกไม่นานเราอาจต้องเติมภัยจาก “มนุษย์ต่างดาว” เข้าไปในแผนบริหารจัดการความเสี่ยงเพิ่มอีกภัย จึงควรรีบหาวัคซีนมาตุนไว้ และศึกษาวิธีใช้ให้ชำนาญกันก่อนครับ
เรื่อง ผศ.ดร.วีรณัฐ โรจนประภา