เพราะปัญหาไวรัสโควิดทำให้เราทุกคนต้องหยุดเชื้อเพื่อชาติ ด้วยการกักตัวอยู่บ้านกันเกือบสองเดือน จากเดิมทีมนุษย์ทำงาน ไปจนถึงผู้บริหาร เคยอยู่บ้านกันเพียงวันหยุดแค่สัปดาห์ล่ะ 1-2 วันเท่านั้น เรียกว่าแทบจะไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศการอยู่บ้านอย่างแท้จริง ออกจากบ้านแต่เช้ากับเข้าบ้านก็มืดค่ำ วันหยุดก็นอนพักหรือไปหากิจกรรมนอกบ้านจนไม่ได้เห็นประโยชน์ใช้สอยที่บ้านอย่างแท้จริง จนกระทั่ง 2 เดือนที่ได้กักตัวเองอยู่ที่บ้าน 2 เดือนนี่ล่ะ ที่ทำให้หลายคนได้ใช้ประโยชน์จากบ้านอย่างแท้จริง ได้พินิจพิจารณาว่าบ้านได้ตอบโจทย์การใช้งานจริงหรือไม่ บ้านที่ทุกจุดได้ใช้ประโยชน์ครบกับทุกคนในบ้านหรือไม่ เด็กๆมีพื้นที่ส่วนตัวเพียงพอหรือไม่ บางทีบ้านอาจตอบโจทย์สำหรับพ่อกับแม่ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ลูกๆเด็กๆอยู่บ้านเหมือนถูกขังไว้ในกล่อง คุณถามตัวเองแบบนั้นบ้างหรือไม่ ครัวที่มีไว้แบบสวยงามดูดี วันที่ต้องกักตัวออกไปกินข้าวนอกบ้านไม่ได้ ต้องมาทำอาหารกินเองฟังก์ชั่นการใช้งานครัวเป็นตามที่คิดไหม หรือแค่สวยๆเอาไว้โชว์ แต่ใช้ได้แค่อุ่นอาหารมากกว่าลงมือทำอาหารคาวหวานในชีวิตจริง เมื่อถึงคราวโรคระบาดมาเยือนคนทั่วโลก จึงทำให้รู้ว่าปัจจัย4 โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยนั้นสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด
วันนี้เราได้พูดคุยกับสาวสวยหน้าใส แพร–ธีริศรา อัศวนิเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท Asava Property Group สาวสวยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของโครงการ THE PAVILLA KANCHANA – BANGBON 3 ด้วยแรงบันดาลใจจากโรคระบาดครั้งนี้ทำให้การสร้างบ้านเพื่อให้เสมือนว่าเจ้าของจะอยู่เอง บ้านพร้อมสรรพเพื่อตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ในสังคมที่มีความเป็นส่วนตัว ให้โอกาสชีวิตได้พักผ่อนแบบสร้างสรรค์ มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง เสริมสร้างการเป็นอยู่ของคนในครอบครัว มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากกว่า
เธอเล่าว่าแรงบันดาลใจการสร้างบ้านของโครงการนี้ คือการยกระดับการอยู่อาศัยของผู้ประกอบการในพื้นที่ย่านนี้ ให้มีบ้านที่ตอบโจทย์ของครอบครัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของโครงการ ผู้บริหารระดับสูง พร้อมแนวคิดสร้างบ้านเหมือนเราอยู่เอง มีพื้นที่ใช้สอยเยอะ บ้านมีความโปร่ง โล่ง สบาย เพดานสูง เหมาะสำหรับทุกคนในบ้าน ที่สำคัญคือราคาต้องสมเหตุสมผล มีการออกแบบที่ โมเดิร์น มีท คลาสสิค คือเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความคลาสสิคเข้ากับความเรียบหรูในยุคปัจจุบัน รวมมาเป็นสไตล์ที่คงทนเหนือกาลเวลาอยู่ได้หลายยุคหลายสมัย
คอนเซปต์ในการทำโครงการนี้ก็คือ”ทุกช่วงเวลาในบ้าน..สำคัญที่สุด” เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่าการซื้อบ้านเดอะพาวิลล่าคือการซื้อความสุข ซื้อความมั่นคงให้แก่ครอบครัว เป็นการให้รางวัลกับตัวเองและครอบครัว บางคนเป็นเจ้าของโรงงานมีบ้านอยู่ชั้นบนสุดของโรงงาน ใช้ชีวิตอยู่แต่ในโรงงานงาน ไม่ได้ผักผ่อน ไม่ได้สัมผัสกับคำว่าบ้านอย่างแท้จริง บ้านของโครงการเราคือการทำให้บ้านแยกจากชีวิตการทำงานให้คุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง บ้านคือบ้านมีความสุขได้พักผ่อนอย่างแท้จริงในทุกๆวัน ได้มีกิจกรรมร่วมกันกับลูกๆ ไม่ว่าสถานการณ์นอกบ้านจะเป็นอย่างไร แต่เมื่ออยู่ในบ้านคุณจะอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะช่วงโควิดเช่นนี้บ้านต้องสร้างพลังปกป้องคนในบ้านให้มีพลังบวกเพื่อรับมือกับโรคร้ายได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล
เธอบอกว่า นอกจากนี้วัสดุที่เลือกใช้และตกแต่งบ้านจะเป็นแนวรีสอร์ทแอนด์โรงแรม คือนำการพักผ่อนเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่มีความสะดวกสบายเหมือนเราอยู่โรงแรม บ้านจะหลังคาสูง ดูโก้ และคลาสสิค ให้บ้านเป็นการพักผ่อนที่เสริมพลังเราได้ทุกๆวัน ซึ่งบ้านในโครงการของเรามีพื้นที่ใช้สอยเยอะ ใช้งานได้จริง มีพื้นที่ๆให้ความรู้สึกหรูหรา สะดวกสบาย สามารถปรับได้หลากหลายสไตล์ให้เหมาะกับการใช้งาน เช่นแบบบ้าน LUXE ที่มีถึง 5 ห้องนอน ห้องนอนล่างเพื่อรองรับผู้สูงอายุ ถ้าไม่ใช่ก็ปรับเป็นห้องทำงานได้ หรือเป็นห้องกิจกรรมอื่นๆ ไว้ทำกิจกรรมงานอดิเรก Passion Roomได้ ห้องนอนทุกห้องใหญ่กว่าโครงการอื่นๆในย่านนี้ เหมือนมี มาสเตอร์เบดรูมหลายห้องไว้ใช้งาน เพราะก่อนออกแบบเราจะเซอร์เวย์โครงการอื่นๆในย่านนี้ว่าทำแบบไหนอย่างไรและทำอย่างไรที่เรายะแตกต่างที่มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์มากกว่า” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ธีริศรา เล่าว่าเธอเริ่มธุรกิจนี้ด้วยวัย 25 ปี ทำโครงการเดอะพาวิลล่า ไพรเวท เรสซิเด้นท์ มาได้ครบ 3 ปี โครงการแรกเข้าสู่เฟสที่ 3 เรียบร้อยเธอตั้งเป้าว่าจะปิดการขายให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ตามแผนงานเดิมที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อมีพิษโควิดเข้ามาอาจจะล่าช้าไปบ้างแต่เธอพยายามที่จะปิดการขายในโครงการนี้ช้าสุดไม่เกินเม.ย ปีหน้า
“การทำธุรกิจก็ต้องมีความยืดหยุ่นมีแผนระยะสั้นระยะยาวไว้รองรับเหตุการณ์เหนือการคาดเดาทีเราไม่สามารถควบคุมได้ อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้ให้บทเรียนหลายอย่างเพื่อนำไปปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ใหม่ๆที่เราต้องพบเจอแบบไม่คาดคิด ที่สำคัญต้องพยายามหาข้อดีของเหตุการณ์นี้มาเป็นบทเรียนในการทำงานครั้งต่อไปให้ได้ ข้อดีคราวนี้คือเดิมผู้บริหาร เจ้าของโครงการแทบไม่มีเวลามาดูบ้านเพราะงานเขาเยอะ พอมีโควิดนักธุรกิจมีเวลามากขึ้นเข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากขึ้นและเขาหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงๆ สำหรับคนที่ต้องอยู่บ้านนานๆ เหมือนลองซ้อมรีไทน์ล่วงหน้า ว่าถ้าต้องอยู่บ้านจริงจังนานๆบ้านตอบโจทย์ชีวิตเขาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งโครงการของเรามั่นใจในจุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะเราทำโฟกัสกรุ๊ปมาเยอะก่อนออกแบบบ้านแต่ละเฟสของเรา” เธอกล่าวอย่างมั่นใจ
ธีริศรา บอกว่า หลังจากเฟสที่ 3 ของโครงการนี้จะพยายามปิดการขายให้ได้ภายในสิ้นปีนี้และอาจจะล่าช้าไปสัก 4-5 เดือน ก็ไม่ใช่อุปสรรค เธอยังเดินหน้าโครงการต่อไป โดยที่ขยับเข้ากลางใจเมืองมากขึ้น โดยเธอปักหมุดไว้แล้วที่ย่านลาดพร้าว เป็นโครงการเล็กแต่พรีเมี่ยมบนเนื้อที่ เกือบ 5 ไร่ เพราะเธอถนัดโครงการบ้านเดี่ยวหรือบ้านแฝดระดับพรีเมี่ยม แม้ราคาจะย่อมเยาลงมาบ้างอยู่ที่ระดับ 15 ล้านนขึ้นไป เพื่อตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มออกแบบโครงการภายในไตรมาสที่ 3 ของปีก็อาจจะเลื่อนไปปลายปีหรือต้นปีหน้า
เธอบอกว่าแผนการทำงานที่ดีต้องมีความยืดหยุ่นได้ ปรับเปลี่ยนให้ทันกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด “ข้อดีของบริษัทเราคือเป็นบริษัทรุ่นใหม่ยังไม่ใหญ่มาก สายงานสั้น สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วทันเวลา มีความคล่องตัวสูง ที่สำคัญเราแทบไม่ใช้แหล่งเงินกู้เลย หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ก็จะไม่เกิน 20% เราต้องมีเงินสดสำรองไว้เองให้มากพอ เราให้ความสำคัญกับเรื่องเงินสดหมุนเวียน แคชโฟล์วต้องคล่องตัวมากๆจะทำให้การทำงานไหลลื่นไม่สะดุด ด้วยความที่เราแทบจะไม่ใช้เงินกู้เลย นั่นทำให้ต้นทุนการขายบ้านของเราถูกกว่าโครงการอื่นๆ25-30% เพราะไม่มีปัญหาต้นทุนเรื่องดอกเบี้ย นี่เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของเรา”เธอกล่าวอย่างมั่นใจ
แม้การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะในภาวะธุรกิจหดตัวเช่นนี้ หลายโครงการมีการลดราคา ตัดราคากันมากโดยเฉพาะในโครงการใหญ่ๆ แต่สำหรับเธอนั้น ไม่ทำสงครามราคา เนื่องจากมั่นใจอย่างยิ่งว่าราคาของโครงการของเธอถูกกว่าตลาดในระดับเดียวกันอยู่แล้ว อีกทั้งยังให้พื้นที่ในการใช้สอยมากกว่า กว้างกว่า ที่สำคัญคือบ้านสร้างใหม่ บางโครงการอื่นๆที่เอามาลดราคาเป็นบ้านที่สร้างเสร็จมา 6-7 ปีค้างสต๊อกขายไม่ได้ เอามาลดราคาหลายรอบสภาพบ้านก็เริ่มเก่าบ้าง
“โครงการเราเป็นบ้านพรีเมี่ยมราคา 40 ล้านขึ้นไป จะเปิดทีละเฟสๆละ 10 หลัง ขายใกล้หมด จึงเปิดเฟสใหม่ ดังนั้นบ้านเราไม่มีค้างสต็อกลูกค้าจะได้บ้านที่สะอาดสดใหม่ทุกหลัง”
แต่ละโครงการของเธอจะใช้เวลาในดำเนินการและปิดการขายคือ 2-3 ปี ไม่เกินจากนี้ จบจากโครงการที่ลาดพร้าว แผนระยะกลางที่เธอมองต่อไปคือที่ย่านตะวันออกเพื่อรองรับ AEC เพราะหลังจากโรคระบาดโควิด จบลงเธอมั่นใจว่าภาคการลงทุนของไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากเหตุการณ์โควิด พิสูจน์แล้วว่าการแพทย์ไทยเก่ง การลงทุนในประเทศรัฐก็สนับสนุน ค่าครองชีพยังไม่แพงมาก แรงงานมีคุณภาพ อาหารไทยก็อร่อย ผลไม้ก็อุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติหลากหลายสวยงาม และไทยยังติดอันดับประเทศที่น่ามาลงทุนอยู่เสมอ เชื่อว่าประเทศไทยยังเนื้อหอมสำหรับต่างชาติที่ยังอยากมาลงทุน ดังนั้นการลงทุนในย่านนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกยังเป็นทำเลที่น่าสนใจ เธอกล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง : อนุสรา ทองอุไร